น้ำ คือตัวการสำคัญที่ทำให้คนเราเจ็บป่วย
แต่ละคนดื่มกินน้ำที่แตกต่างกันไปมีทั้งน้ำธรรมดา น้ำเย็น น้ำร้อน น้ำชา อัดลม
น้ำผลไม้ น้ำนม ผลที่ได้จากการดื่มน้ำนั้นก็จะแตกต่างกันออกไป อีกทั้งจำนวนมาก –
น้อย จังหวะเวลาในการดื่มน้ำก็ไม่เหมือนซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการโรคต่างๆได้ มีเคล็ดลับดีๆ ในการดื่มน้ำแบบง่ายๆ
ที่ทุกท่านสามารถทำได้ด้วยตัวเอง
น้ำดื่มเพื่อสุขภาพ
ขั้นตอนที่ 1. ดื่มน้ำให้เพียงพอกับน้ำหนักตัว
ร่างกายคนเรานั้นประกอบด้วยน้ำ 60 – 70
% เมื่อเทียบกับน้ำหนักตัวเรา
ตามสูตรที่องค์การอนามัยโลกได้กำหนดเอาไว้คนเราในแต่ละวันต้องดื่มน้ำให้ได้ปริมาณที่เหมาะสมกับน้ำหนักของตัวเอง
ดังวิธีคำนวณข้างล่าง
50
60
70
80
90 1,650 CC/1.6 ลิตร
1,980 CC/1.9 ลิตร
2,310 CC/2.3 ลิตร
2,640 CC/2.6 ลิตร
2,970 CC/2.9 ลิตร 8
10
11.5
13
14.5
ถามว่า
ทำไมต้องดื่มน้ำให้ได้ขนาดนั้น
ก็เพื่อความสมดุลของน้ำในร่างกาย เพราะร่างกายคนเราประกอบด้วยน้ำถึง
2 ใน 3 ส่วนถ้าร่างกายขาดน้ำ ธาตุไฟก็จะโหมกระหน่ำ ธาตุลมกำเริบ
ธาตุดินก็แห้งแตกระแหง หรือจะดูกันง่ายๆ เลือดเรานั้นต้องประกอบด้วยน้ำกว่า 60%
ถ้าขาดน้ำเลือดก็จะข้นหนืด ทำให้เลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงร่างกายลำบาก
หัวใจก็จะทำงานหนักในการสูบฉีดเลือด
เส้นเลือดบางเส้นมีขนาดเล็กมากจนต้องใช้กล้องขยายส่องดูจึงจะมองเห็นท่านลองคิดดูว่าเลือดที่มันข้นหนืดจะเข้าไปในเส้นเลือดเล็กๆเหล่านั้นได้อย่างไร
ขั้นตอนที่ 2. ดื่มน้ำตอนเช้าหลังตื่นนอน
ตื่นเช้าขึ้นมาขอแนะนำว่าอย่างแรกที่ทุกท่านควรทำก่อนอย่างอื่นเลยก็คือ
ดื่มน้ำให้ได้ 2 – 5 แก้ว ดื่มน้ำอุ่นๆยิ่งดี
เพราะน้ำอุ่นนั้นดื่มง่ายกว่าน้ำธรรมดา และอุณหภูมิของน้ำที่ดื่มไม่ต่ำกว่าอุณหภูมิของร่างกายไม่เป็นการไปดึงอุณหภูมิร่างกายให้เย็นลง
ขั้นตอนที่ 3. หลีกเลี่ยงน้ำเย็น น้ำอัดลม และนม
อุณหภูมิโดยปกติของร่างกายคนเรานั้นอยู่ที่
36-37 องศาเซลเซียส ถ้าเราดื่มน้ำเย็นๆสัก 2 องศาเซลเซียส
น้ำเย็นจะต้องไปดึงความร้อนของร่างกายมาทำให้อุณหภูมิของน้ำเท่ากับร่างกาย
การดูดซึมจะทำงานได้
ทำให้ร่างกายสูญเสียพลังงานและเสียเวลาในการปรับสมดุลให้คืนสู่ปกติ
บางท่านเอาน้ำชาใส่กระติกน้ำแข็งแช่เย็นแล้วก็ดื่มทั้งวัน เวลาดื่มก็ชื่นใจดี
แต่ท่านเชื่อหรือไม่ว่าท่านยิ่งดื่มมากเท่าไหร่ ท่านก็ยิ่งร้อนมากขึ้นเท่านั้น
เพราะชามีฤทธิ์เย็น แม้ท่านจะดื่มแบบร้อนก็ตาม เมื่อชาเข้าไปอยู่ในร่างกายแล้ว
ความร้อนของน้ำจะหายไป เหลือแค่ฤทธิ์ของชาซึ่งเย็น และไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อเราดื่มน้ำชาแช่เย็นแล้วตัวเราจะเย็นมากขึ้นเพียงใด
เหมือนร่างกายเราถูกแช่เย็น แถมยังเกิดลมเกิดแก๊สขึ้นมาอีกต่างหาก
ขั้นตอนที่ 4. ดื่มน้ำให้ถูกเวลา
-15 นาทีก่อนทานอาหาร
-
ระหว่างทานอาหาร
-
รับประทานอาหาร
แก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยวิธีนี้
ระหว่างทานอาหารควรดื่มน้ำแต่น้อยอย่างมากไม่เกิน
1 แก้ว เพื่อให้น้ำย่อยมีประสิทธิภาพในการย่อยอาหารได้เต็มที่
ควรเป็นน้ำธรรมดาไม่เป็นน้ำที่ร้อนมากหรือที่เย็นจัด
แต่ถ้าเป็นน้ำอุ่นๆ เล็กน้อย ก็ควรดื่มในตอนเช้าเพราะจะให้การขับถ่ายดีขึ้น
ลำไส้สะอาด
ตอนสาย ดื่มน้ำ 2 แก้ว (เวลาประมาณ 9.00
– 10.00 น)
ตอนบ่าย ดื่มน้ำ 3 แก้ว (เวลาประมาณ 13.00
– 16.00 น)
ตอนเย็น ดื่มน้ำ 3 แก้ว (เวลาประมาร 19.00
– 20.00 น)
ก่อนเข้านอน ดื่มน้ำ 1 แก้ว
เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหาร
ถ้าเป็นน้ำอุ่นจะช่วยให้หลับสบายดีขึ้น รวมแล้วให้สามารถดื่มน้ำเปล่าได้วันละ 10
แก้ว นอกเหนือจากนั้น ท่านสามารถดื่มน้ำนม น้ำผลไม้, ฯลฯ
ได้อีกไม่จำกัด
เคล็ดลับการดื่มน้ำแบบง่ายๆที่ท่านสามารถทำได้ด้วยตัวเอง
ตามขั้นตอนดังนี้
ขั้นตอนที่ 1. ดื่มน้ำให้เพียงพอกับน้ำหนักตัว
ร่างกายคนเรานั้นต้องประกอบด้วยน้ำ 60-70%
เมื่อเทียบกับน้ำหนักตัวเรา ตามสูตรที่องค์การอนามัยโลกได้กำหนดเอาไว้
คนเราในแต่ละวันต้องดื่มน้ำให้ได้ปริมาณที่เหมาะสมกับน้ำหนักของตัวเอง
วิธีคำนวณก็คือ
ตื่นนอนตอนเช้า ก่อนแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำ 4 แก้ว
( 640 ซีซี )ดื่มน้ำอุ่นๆได้ยิ่งดี เพราะน้ำอุ่นนั้นดื่มง่ายกว่าน้ำธรรมดา
และอุณหภูมิของน้ำที่ดื่มไม่ต่ำกว่าอุณหภูมิของร่างกาย ไม่เป็นการไปดึงอุณหภูมิของร่างกายให้เย็นลง
เพราะน้ำลายบูดที่สะสมมาตั้งแต่ขณะนอนหลับ มีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์
สามารถฆ่าจุลินทรีย์พิษในทางเดินอาหาร และช่วยในการขับถ่ายให้เป็นปกติ
ควรดื่มน้ำก่อนรับประทานอาหาร 45 นาที
หลังจากนั้นจึงรับประทานอาหารได้ตามปกติ
เมื่อรับประทานอาหารแล้วไม่ควรดื่มน้ำหรือรับประทานอะไร จนกว่า 2 ชั่วโมงผ่านไป
เพราะการดื่มน้ำมากระหว่างรับประทานอาหารจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะเจือจางการย่อยเป็นไปได้ไม่ดี
ขั้นตอนที่ 4.ดื่มน้ำระหว่างวัน
10.00น. 14.00น. 16.00น.
ดื่มน้ำอุ่นๆ 1 แก้ว
ขั้นตอนที่ 6.หลีกเลี่ยงน้ำเย็น น้ำอัดลม
อุณหภูมิโดยปกติของร่างกายคนเรานั้นอยู่ที่
36-37 องศาเซลเซียส ถ้าเราดื่มน้ำเย็นๆ สัก 2 องศาเซลเซียส
น้ำเย็นจะต้องไปดึงความร้อนของร่างกายมาทำให้อุณหภูมิของน้ำเท่ากับร่างกาย
การดูดซึมจึงจะทำงานได้
ทำให้ร่างกายสูญเสียพลังงานและเสียเวลาในการปรับสมดุลให้คืนสู่ปกติ
ข้อควรจำ
• ไม่จำเป็นต้องดื่มครั้งละ
2 – 3 แก้วติดต่อกันทันที ดื่มตามปรกติสบายๆ
ผู้ที่ทำตามครั้งแรก ๆ อาจรู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อย เป็นอาการปรกติธรรมดา ทั้งนี้เพราะผนังลำไส้
และกระเพาะอาหารขยายตัวขึ้น หากทำติดต่อกันเป็นประจำก็จะไม่มีอาการอีก
•ระยะแรก
จะเกิดการปัสสาวะบ่อย ครั้งแรกๆ จะมีสีเหลืองข้นขุ่นกลิ่นฉุน
เนื่องจากน้ำที่ดื่มไปชะล้างไตให้สะอาด
•อย่าดื่มน้ำมากก่อนหน้าที่จะรับประทานอาหาร
( ควรงดดื่มน้ำมากสักครึ่งชั่วโมงก่อนรับประทานอาหาร)
และหลังจากรับประทานอาหารเสร็จใหม่ๆ ก็ไม่ควรดื่มน้ำมากๆ ทันที
ในระหว่างการรับประทานอาหารไม่ควรดื่มน้ำตลอดเวลา
เพราะการดื่มน้ำมากในระหว่างรับประทานอาหารจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง
การย่อยเป็นไปได้ไม่ดี
•การทานอาหารในแต่ละมื้อไม่ควร
อิ่มจนแน่นท้องเกินไปควรให้อิ่มพอดีแล้วรับประทานผลไม้สดจะทำให้สะอาดคอ
แล้วจิบน้ำตามนิดหน่อยท่านจะรู้สึกสบายท้องหลังจากนั้นสักครึ่งชั่วโมง
จึงดื่มน้ำตามปรกติ
แล้วเราควรจะดื่มน้ำเวลาไหนกันบ้าง ?
ตื่นนอนตอนเช้า 1 แก้ว (400 ซี.ซี.)
เพราะเป็นช่วงที่มีความเข้มข้นของเลือดสูง เลือดจะมีลักษณะขาดน้ำ
ตอนสาย 2 แก้ว (เวลาประมาณ 9.00 – 10.00 น.) ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีของเสียเกิดขึ้น
เพราะร่างกายได้ทำงานไปแล้วระยะหนึ่ง
ดังนั้นจึงควรดื่มน้ำเพื่อชำระของเสียเหล่านั้นออกไป
ตอนบ่าย 3 แก้ว (เวลาประมาณ 13.00 – 14.00
น.)
ตอนเย็น 3 แก้ว (เวลาประมาณ 19.00 – 20.00
น.)
ก่อนนอนให้ดื่มน้ำอีก 1 แก้ว
เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหาร
ยิ่งถ้าเป็นน้ำอุ่นด้วยแล้วจะยิ่งช่วยให้หลับสบายยิ่งขึ้น
ถึงแม้ว่าจะมีประโยชน์แต่ก็มีข้อที่ไม่ควรปฏิบัติในการดื่มน้ำเหมือนกันนะ
ไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำ 2-3 แก้วติดต่อกันทันที ให้ดื่มตามปกติ
ถ้าดื่มเข้าไปรวดเดียว ร่างกายก็จะขับออกมาทางปัสสาวะในทันที
แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นการจิบน้ำไปเรื่อยๆ
ร่างกายจะได้นำไปใช้ประโยชน์ในส่วนต่างๆได้ดีกว่า
เมื่อดื่มน้ำไปสักครู่หนึ่ง จะปัสสาวะบ่อย ในครั้งแรกๆจะมีสีเหลืองขุ่นๆ
เนื่องจากน้ำที่ดื่มไปนั้นจะเข้าไปชำระล้างไตให้สะอาด
(ไตเปรียบเหมือนเครื่องกรองน้ำของร่างกาย)
ไม่ควรดื่มน้ำในปริมาณมากเกินไป
ทั้งก่อนที่จะรับประทานอาหารและหลังรับประทานอาหาร
ควรเลิกนิสัยที่รับประทานอาหารพร้อมกับการดื่มน้ำ
เพราะจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การย่อยไม่ดี
ไม่ควรรับประทานอาหารในแต่ละมื้อจนอิ่มแน่นท้องเกินไป
ควรให้อิ่มพอดีแล้วรับประทานผลไม้สดตาม จะทำให้สะอาดคอ
แล้วจิบน้ำตามนิดหน่อยก็จะรู้สึกสบายท้อง
แล้วหลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงค่อยดื่มน้ำตามปกติ
ในช่วงแรกของการเริ่มต้นดื่มน้ำให้ถูกวิธี ร่างกายเราอาจจะยังไม่ชินบ้าง
แต่ถ้าหากเราสามารถดื่มน้ำให้ถูกหลักเช่นนี้เป็นประจำแล้ว จะทำให้มีสุขภาพอนามัยดี
ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่าอยู่เสมอ
สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่เพราะร่างกายเรามีสมดุลที่ดีนั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น